บทความนี้เป็นบทความที่ผมตั้งใจจะให้มันเป็นซีรี่ส์ยาวๆ เหมือนกับว่าผมอยากจะเขียนอะไรก็เขียน (เอาแต่ใจจริงๆ -*-) เนื่องจากหมวดเทคนิคการถ่ายภาพมันนิ่งมานานแล้ว อีกอย่างเป็นการทวนความจำของผมไปในตัวด้วย ^^
เดี๋ยวนี้กล้องดิจิตอลหลายๆ รุ่นจะรองรับการเซฟภาพด้วยฟอร์แมตคือ jpeg ซึ่งจะมีให้เลือกปรับในกล้องกันหลายความละเอียด ตั้งแต่แบบเล็กสุดๆ จนถึงขนาดสูงสุดที่กล้องจะมีให้ และจะมีไฟล์อีกประเภทหนึ่งคือฟอร์แมต raw ที่กล้องรุ่นใหม่ๆ จะมีให้เลือกปรับ โดยเฉพาะกล้อง DSLR รุ่นแรกๆ จนถึงปัจจุบัน รวมถึงกล้อง compact รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันก็จะมีให้ปรับด้วย
raw แค่ดูจากชื่อก็รู้กันอยู่แล้ว แปลกันห้วนๆ ก็แปลว่าดิบนั่นละ ซึ่งไฟล์ประเภทนี้ก็คือไฟล์ดิบจริงๆ ที่ได้มาจากเซ็นเซอร์ของกล้องโดยตรงโดยไม่ผ่านกระบวนการประมวลผลของกล้องมาก่อนเหมือนไฟล์ jpeg คือได้จากเซ็นเซอร์มายังไงก็เซฟลงเมมโมรี่การ์ดไปเลย
นอกจากนี้ไฟล์ raw ยังเป็นไฟล์ประเภท lossless ที่แทบไม่สูญเสียข้อมูลในการบีบอัดเลย ต่างจาก jpeg ที่จะเป็นไฟล์ประเภท lossy ที่มีการลดทอนข้อมูลบางส่วนของไฟล์ออก เพื่อที่ขนาดของไฟล์นั้นจะได้ลดลง ซึ่งกระบวนการผมคงไม่กล่าวถึงในบทความนี้
ส่วนตัวแล้วผมเล่นกล้อง DSLR มาปีกว่าๆ ผมถ่ายรูปด้วยไฟล์ raw มาแทบจะตลอด (ตอนผมซื้อกล้องมาใหม่ๆ เมมโมรี่อาจจะไม่พอ สมัยนั้นอาจจะยังถ่าย jpeg อยู่) เหตุผลที่ผมใช้ฟอร์แมตนี้ก็คือมันมีข้อดีหลายอย่างเฉกเช่น
- ไฟล์ raw เป็นไฟล์ดิบที่เราต้องนำมาโปรเซสอีกครั้ง เปรียบเหมือนดั่งพวกฟิล์มเนกาทีฟ ที่เราต้องนำมันไปล้างเสียก่อนถึงจะได้รูปตามที่ต้องการ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับ raw ที่ผมเรียกว่ามันเป็นฟิล์มเนกาทีฟในยุคดิจิตอล
- เหตุผลเนื่องจากข้อแรก ฉะนั้นข้อมูลจะได้ตรงตามต้นฉบับทุกประการ ไม่ถูกกล้องปรุงเสริมแต่งให้เสียความละเอียดออกไป ถึงแม้ว่าจะปฏิเสธกันไม่ได้ว่ากล้องเดี๋ยวนี้มีความสามารถในการประมวลผลไฟล์ jpeg ได้ดีมาก แต่ผมว่ายังไงมันก็มีส่วนที่หายไปอยู่ดีนั่นละ
- ไฟล์ raw มี dynamic range ที่ดีกว่าเนื่องจากรองรับความแตกต่างของสีได้มากถึง 12-14 บิท (ขึ้นอยู่กับเซ็นเซอร์กล้อง) ต่างจากไฟล์ jpeg ที่รองรับเพียง 8 บิท ซึ่งระดับความสว่างที่รองรับนี่ถือว่าต่างกันเยอะเลยครับ ระหว่าง 256 ระดับและ 4096, 16384
- ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่อง white balance ในการถ่ายภาพ เพราะเราสามารถปรับแต่งอุณหภูมิสีได้ภายในตัวโปรแกรมครับ ฉะนั้นที่กล้องผมปรับ auto ไว้ตลอดโดยแทบไม่ต้องไปกังวลเรื่องนี้
- สืบเนื่องจากความยืดหยุ่นของไฟล์ ทำให้เราสามารถแก้ตัวได้หากเราถ่ายพลาดเช่นแสงอันเดอร์หรือโอเวอร์เกินไป เราสามารถดึงแสงกลับมาได้พอสมควรโดยที่ภาพไม่สูญเสียรายละเอียดมากนัก เท่าที่ผมดูนี่ดึงกลับมาแบบเซฟๆ ก็ได้ประมาณสองสตอปเลย แต่ถ้าอันไหนพลาดเกิน (โอเวอร์จัด) ก็ทำใจกับรูปเสียหน่อยละกัน แต่ยังไงดีกว่าเอาไฟล์ JPEG มาปรับแน่นอนครับพี่น้อง
- คุณภาพของไฟล์ raw ขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่นำมาโปรเซสด้วย ซึ่งปัจจุบันโปรแกรมแต่งรูปหลายๆ ตัวนั้นมีการพัฒนาอัลกอริทึมให้โปรเซสไฟล์ raw ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนนึงก็เพราะคอมพิวเตอร์ปัจจุบันประสิทธิภาพสูงจึงสามารถโปรเซสได้เร็วขึ้นและเอื้อต่อการโปรเซสที่สลับซับซ้อนกว่าเดิม หมายความว่ารูปแห่งความประทับใจที่เก็บไว้จะยังคงสามารถพัฒนาขึ้นได้เรื่อยๆ ตามความสามารถของโปรแกรมครับ เพราะเหมือนเราเอาฟิล์มมาล้างกับน้ำยาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
แต่บนข้อดีเยอะแยะเช่นนั้น ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียครับ ข้อเสียที่ผมสังเกตได้เลยคือ
- ไฟล์ใหญ่มากกกก ขนาดจะใหญ่กว่า jpeg สามเท่าเห็นจะได้ ฉะนั้นเราต้องมีพื้นที่ในการเก็บทั้งในเมมโมรี่ และคอมพิวเตอร์พอสมควร แต่จะไปกลัวอะไรละครับ ปัจจุบันราคาถูกลงมาก เมมโมรี่แปดกิ๊กราคาไม่เกินเจ็ดร้อยบาท สามารถเก็บภาพ raw ได้ประมาณห้าร้อยภาพ
- ด้วยขนาดที่ใหญ่ ทำให้การเก็บรูปลงเมมโมรี่ทำได้ช้าลง หมายความว่าบัฟเฟอร์ของกล้องก็จะเต็มเร็วขึ้น ทำให้เราถ่ายภาพต่อเนื่องได้น้อยลง เป็นปัญหาใหญ่สำหรับกล้องรุ่นเก่าๆ หรือการถ่ายงานอีเว้นต์ที่รัวยิกๆ มันจะเซฟลงเมมไม่ทันครับ
- ต้องนำมาโปรเซสทุกครั้งก่อนที่จะนำไปแจกจ่ายหรืออัพลงเว็บ หากผมจะแจกไฟล์ให้เพื่อนหรือคนอื่นๆ ผมไม่สามารถแจกได้ทันที จำเป็นที่จะต้องโปรเซสก่อน แต่วิธีแก้ก็ง่ายๆ คือไปปรับให้เซฟสองฟอร์แมตลงไปพร้อมกันเสียเลยก็สิ้นเรื่อง
- ยังไม่เป็นมาตรฐานกลางเท่าที่ควร เพราะปัจจุบันจริงๆ มีนามสกุลที่กำลังอยู่ในกระบวนการยกเป็นมาตรฐานอยู่ก็คือ .dng (digital negative) ของทาง Adobe นั่นเอง แต่กล้องหลายๆ ค่าย โดยเฉพาะค่ายใหญ่อย่าง Nikon, Canon ก็ยังไม่ลงมาเล่นเช่นเดิม ยังคงใช้ฟอร์แมตของตนเองต่อไป แต่ก็ไม่แน่หากอนาคตของ .dng ไปได้สวย ก็จะทำให้ raw format มีความเป็นมาตรฐานและพัฒนาไปได้รวดเร็วกว่าเดิมครับ
ฉะนั้นความคิดเห็นของผมเองผมจึงถ่าย RAW มาแทบจะตลอดเวลาด้วยเหตุผลข้างต้น ส่วนนึงคือผมไม่ได้ซีเรียสในด้านการโปรเซสภาพอยู่แล้วละครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงแม้ว่า raw จะทำให้เรามีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งมากขึ้น แต่สุดท้ายแล้ววิธีที่ดีที่สุดคือการใส่ใจตั้งแต่การกดชัตเตอร์ครับ เพราะถึงแม้ว่าบางอย่างจะมาแก้ไขได้ภายหลัง แต่พวกการจัดองค์ประกอบนี่พลาดแล้วพลาดเลยนะครับพี่น้อง