LTE-A (Long Term Evolution Advanced) 4G ที่แท้จริง

บ้านเราก็กำลังอยู่ในช่วงการพัฒนาเครือข่ายของโทรศัพท์เจ้าต่างๆ ให้รองรับระบบ 3G มาตรฐานคลื่นความถี่ 2100 MHz กันถ้วนหน้าหลังจากที่ได้ประมูลกันไปเสร็จสิ้นและได้ใบรับอนุญาตกันไปแล้วในที่สุดบ้านเราก็จะได้ใช้โทรศัพท์มือถือ 3G กันแบบเต็มรูปแบบเสียที (หากเขาขยายเสาสัญญาณกันครอบคลุมทั่วแล้วจริงๆ นะ) นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเจ้าที่กำลังเริ่มทำการทดสอบระบบ 4G หรือที่เรียกกันว่า LTE (ย่อมาจาก Long Term Evolution) กันเป็นการภายในหรือในพื้นที่เล็กๆ อย่างในเมืองหลวงรวมถึงมีบางเจ้าเริ่มโฆษณาในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจังกันแล้วด้วยอีกต่างหากซึ่งดูแล้วก็นับว่าน่าสนใจ

LTE มีการพัฒนาที่น่าสนใจหลายอย่างและหลายคนอาจจะสนใจว่าเจ้า 4G-LTE นี้มีอะไรดีกว่า 3G HSPA+ ที่เราใช้ๆ กันอยู่ในตอนนี้บ้าง เรื่องนึงที่แน่นอนเลยคือความเร็วสูงสุดทั้งขา download และ upload โดยเทคโนโลยีที่เรามีอยู่กันในตอนนี้ (3G HSPA+) ความเร็วสูงสุดที่สามารถทำได้ตามทฤษฏีคือ 168 Mbps สำหรับขาดาวน์และ 22 Mbps สำหรับขาอัพ ส่วน 4G-LTE นี้สเปคจะอยู่ที่ 300 Mbps และ 75 Mbps ตามลำดับ แต่ก็แน่นอนว่าเวลาใช้งานจริงนี่ไม่มีทางถึงแน่นอนเพราะความแออัดและแบนด์วิธของแต่ละเจ้าที่มีให้มีจำกัดนั่นเอง อีกเรื่องก็คือ latency หรือที่เรารู้จักกันทั่วไปคือค่า ping ของแพ็คเกตที่เล็กที่สุดที่จะลดลงเหลือเพียง 5 ms ในทฤษฏี เรียกได้ว่าลดต่ำในระดับเริ่มใกล้เคียงกับการเชื่อมต่อแบบมีสายกันเลย นั่นคือสิ่งที่เรามองออกกันแบบคนทั่วไปสำหรับเรื่องของ LTE นะครับ เพราะหากว่ากันในเรื่องของเกี่ยวกับทฤษฏี telecommunication ผมว่าคงไม่มีใครสนใจกันมากมายนัก ฮ่าๆ

แต่อย่างว่าเทคโนโลยีตัวนี้ยังไม่สุด เพราะหากว่ากันตามสเปคที่เขาออกแบบกันมาตอนแรกแล้ว เจ้า LTE นี้ควรจะเรียกว่า 3.9G มากกว่า 4G เนื่องจากไม่สามารถทำความสามารถหลายอย่างได้ตรงกับสเปคที่ทางหน่วยงานที่ร่วมกันออกแบบอย่าง 3GPP (3rd Generation Partnership Project) วางไว้ แต่เนื่องด้วยความเร่งด่วนอยากเอาไปใช้กันเต็มแก่รวมถึงแรงกดดันจากตลาดภายนอก (จากคู่แข่ง WiMAX) จึงสามารถนำออกมาใช้ได้ก่อนโดยอนุโลมให้สามารถเรียกว่า 4G ได้ ซึ่งสเปคที่ 3GPP อยากได้จริงๆ คือความเร็วขาดาวน์โหลดต้องสูงสุดที่ 1Gbps แต่ที่เราเห็นกันอยู่คือได้เพียงแค่ 300 Mbps เท่านั้นเอง

ตารางเปรียบเทียบ 3G vs. Pre-4G และล่าสุดคือ 4G

ค่ายต่างๆ เริ่มใช้ LTE กันมาตั้งแต่ปี 2009 เริ่มต้นจากสวีเดนเป็นเจ้าแรกที่เปิดให้บริการ (แต่ไม่ได้ใช้กับโทรศัพท์มือถือ เพราะยังไม่มีรุ่นใดออกวางจำหน่ายที่รองรับเลย) กว่าจะมีโทรศัพท์ที่รองรับก็ปาเข้าไปประมาณเกือบหนึ่งปีแถมเป็นโทรศัพท์แบบทั่วไปอีกด้วยไม่ใช่สมาร์ทโฟนที่กว่าจะออกก็ปาไปเกือบสองปี แต่ระหว่างนั้นก็ทำให้ประเทศอื่นๆ เริ่มพัฒนาเครือข่ายของตัวเองให้รองรับ LTE กันมากขึ้น (บางค่ายทำการเปลี่ยนระบบจาก WiMAX มาเป็น LTE ในภายหลังก็มี)

จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วเวอร์ชั่นอัพเกรดครั้งใหญ่ของ LTE อย่าง LTE-A (Long Term Evolution Advanced) ก็เริ่มมีข่าวออกมาให้เห็นกันบ้างหลังจากที่เงียบไปนาน โดยมีเจ้าแรกที่เริ่มนำ LTE-A ไปใช้กับเครือข่ายตัวเองอย่า Yota ที่ให้บริการในพื้นที่บางส่วนของ Russia ไปเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดยสเปคของ LTE-A นี้ผ่านความต้องการของ 4G ที่แบบฉลุยๆ เพราะความเร็วฝั่ง Download/Upload นั้นสูงถึง 3 และ 1.5 Gbps ตามลำดับ แต่ทดสอบจริงจะได้ประมาณ 300Mbps ซึ่งก็ถือว่าแรงมากแล้ว โดยแต่ละประเทศนั้นอาจจะกำหนดความเร็วไว้ไม่เท่ากันก็ได้

Samsung Galaxy S4 ที่เตรียมออกรุ่นรองรับ LTE-A เร็วๆ นี้

ส่วนโทรศัพท์ที่รองรับตอนนี้ยังไม่มีเลย แต่ก็กำลังมีข่าวว่า Samsung Galaxy S4 LTE กำลังจะมีรุ่นที่รองรับ LTE-A ออกมาให้ใช้งานกันแล้วโดยจะวางจำหน่ายในเกาหลีอีกไม่นานและคาดว่าจะมีรุ่นสำหรับประเทศอื่นๆ นอกเกาหลีตามมาในอีกไม่นาน และคาดว่าจะมีจากผู้ผลิตรายอื่นๆ ออกมาอีกเยอะแน่นอนเพราะค่ายผู้ผลิตชิปต่างๆ ทั้ง Qualcomm, Nvidia, Broadcom และ ST-Ericsson ก็เตรียมที่จะออกชิปสำหรับ LTE-A มาให้ผู้ผลิตรายต่างๆ ซื้อไปผลิตโทรศัพท์ของตัวเองในอีกไม่นาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับตลาดลูกพี่ใหญ่อย่างอเมริกาด้วย หากที่นั่นมีการอัพเกรดไปเป็น LTE-A ได้เร็วเราก็อาจจะได้ใช้โทรศัพท์รุ่นต่างๆ ที่รองรับ LTE-A ได้เร็วมากขึ้นด้วย (แต่ยังไงเมืองไทยก็อีกนานละครับ ฮ่าๆ)

LTE-A ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่น่าจะทำให้ยุคที่สี่ของโทรศัพท์มือถือนั้นเติมเต็มได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีการเชื่อมต่อที่ตอบสนองได้รวดเร็วและคุยกันได้ชัดเปรี๊ยะ แค่คิดก็สนุกแล้วหากอินเตอร์เน็ตบนมือถือจะมีความใกล้เคียงอินเตอร์เน็ตแบบสายทองแดงเข้าไปทุกวัน (หากไม่มี data cap จากผู้บริการเข้ามาเกี่ยวข้อง) และใช้งานต่างๆ ได้แทบจะทัดเทียมกับการใช้งาน ADSL ตามบ้าน ที่เหลือคือต้องคงปล่อยให้เป็นเรื่องของการแข่งขันของแต่ละเจ้าโทรศัพท์มือถือที่จะทำให้ราคานั้นถูกลง และการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในไทยของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ไม่งั้นก็คงซื้อโทรศัพท์ที่รองรับมารอเก้อกันไปวันๆ

แหล่งข้อมูล: Wikipedia, The Verge

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *