iPad Mini vs. iPad Mini 2 มีอะไรใหม่บ้าง

iPad รุ่นนึงที่น่าสนใจที่สุดหากไม่นับรุ่นปกติหลังจากเปิดตัวมาเมื่อสักเกือบๆ สี่ปีที่ผ่านมา นั่นก็คือ iPad Mini ที่สุดท้ายแล้ว Apple ก็ต้องยอมทำรุ่นจอเล็กออกมา แถมยังได้รับความนิยมอย่างล้นหลามอีกต่างหาก ทีนี้รุ่นแรกถึงแม้ว่าจะได้รับความนิยมมากแต่ก็ยังมีข้อเสียที่หลายคนไม่ค่อยชอบ ตั้งแต่ความเร็วที่ดูเหมือนไม่ค่อยจะทันใจเท่าไหร่ แถมยังมาพร้อมกับจอคุณภาพเดิมๆ ความละเอียดไม่ค่อยสูงอีกด้วย ฉะนั้นหลายคนจึงคาดหวังกับรุ่นใหม่อย่าง iPad Mini 2 กันแบบสุดๆ

และเมื่อประมาณเที่ยงคืนที่ผ่านมา Apple ได้ทำการเปิดตัว iPad Mini รุ่นใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (แต่เขาไม่ได้เรียกว่า Mini 2 แต่อย่างใด อันนี้เราเรียกกันเองเพื่่อแยกรุ่นใหม่กับรุ่นเก่าออกจากกัน) ผมว่าเรามาลองเปรียบเทียบกันดูดีกว่าจากข้อมูลที่มีออกมา ว่า iPad Mini รุ่นแรก กับ iPad Mini 2 หรือ with Retina Display (รุ่นใหม่) มีความแตกต่างกันอย่างใดบ้าง

หนักและหนากว่าเดิมนิดหน่อย แต่คงไม่รู้สึกอะไร

รูปร่างที่แยกกันไม่ออก

iPad Mini 2 หากมองด้านการออกแบบแล้วเรียกว่าไม่มีอะไรอัพเดทใหม่แต่อย่างใด มองด้านนอกนี่เหมือนกับรุ่นเก่าแทบทุกประการ แม้แต่กระทั่งขนาดก็ยังดูไม่ออกว่าต่างกันตรงไหน (รุ่นแรกมิติของมันคือ 200.0 x 134.7 x 7.2 มิลลิเมตร หากเทียบกับรุ่นใหม่ที่มีขนาด 200.0 x 134.7 x 7.5 ความบางที่ห่างกันเพียง 0.3 มิลผมว่าไม่มีใครรู้สึกได้อย่างแน่นอนถ้าไม่คิดไปเองว่ามันหนาขึ้น

ในเรื่องของน้ำหนักนั้น iPad Mini 2 น้ำหนักไม่ถือว่าเบากว่า แถมยังหนักกว่าเดิมเล็กน้อยอีกด้วย (น้ำหนัก iPad Mini 2 คือ 341 กรัม หนักกว่ารุ่นแรก 29 กรัม (312))

นอกจากนี้ทั้งลูกเล่นที่หลายคนคิดว่าจะมีมาด้วยอย่าง fingerprint sensor (TouchID) ก็ยังไม่มีมาให้ใช้งานกันทั้งรุ่น Mini และ Air หลายคนคงคาดเดากันออกแน่ว่าจะได้เจอมันใน iPad Mini 3 และ Air 2 เป็นแน่แท้ (กั๊กไว้นั่นเอง)

หน้าจอที่หลายคนรอคอย

ชื่อนั้นก็บอกอยู่แล้วว่า iPad Mini with Retina Display หน้าจอที่หลายคนรอคอยสุดท้ายก็ได้มาถึงรุ่นหน้าจอ 7.9 นิ้วกันเสียที ด้วยการเพิ่มความละเอียดจากเดิม 768 x 1024 พิกเซลไป 1536 x 2048 พิกเซล ทำให้จำนวนจุดบนหน้าจอนั้นต่างกันอย่างมากแน่นอน หากคำนวณแล้วจะมีพื้นที่พิกเซลเพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิมประมาณ 2.35 ล้านจุดกันเลยทีเดียว งานนี้ใครที่รอหน้าจอความละเอียดสูงก็ซื้อกันได้แบบไม่ต้องลังเลใดๆ …

กล้องที่ยังคงเอกลักษณ์เดิม

ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีกับเอกลักษณ์ที่ว่า แต่หากคุณจะซื้อ iPad มาถ่ายรูปก็อย่าได้คาดหวังคุณภาพระดับ iPhone ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใดๆ ก็ตาม เพราะกล้องของ Mini 2 ก็ไม่ได้มีการปรับปรุงอะไรที่น่าสนใจเท่าไหร่นัก ยังมาพร้อมกับลูกเล่นอย่างชิ้นเลนส์ห้าตัว ความละเอียดห้าล้านพิกเซล รูรับแสง 2.4 และก็ลูกเล่นอย่างออโต้โฟกัส ตรวจจับใบหน้า รวมถึงการใช้การออกแบบ Backside Illumination เช่นเดิม

กล้องหน้ามีการปรับปรุงโดยใช้ Backside Illumination เช่นกันทำให้สามารถถ่ายหน้าเราในที่มืดได้ดีขึ้น เอาเป็นว่าคุณภาพก็อยู่ในระดับ iPad ก็แล้วกัน แต่อย่าได้คาดหวังอะไรกับมันมาก

การเชื่อมต่อปรับปรุงให้เร็วขึ้น

ทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ยังคงมาพร้อมกับรุ่นที่ติดมาพร้อม Wi-Fi และ Wi-Fi + Cellular เช่นเดิม โดยในส่วนของ Cellular ก็ยังรองรับทั้งเทคโนโลยี 3G/HSDPA และ LTE (ในบางประเทศ) เช่นเดิม ส่วน Wi-Fi ก็รองรับทั้งมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n ครบทุกอย่างรวมถึง Bluetooth 4.0 ก็รองรับด้วย

แต่ดูเหมือน Mini 2 อาจจะมีการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ที่รวดเร็วกว่าเพราะชิปรุ่นใหม่นั้นรองรับความถี่ได้ทั้ง 2.4 และ 5 GHz ด้วยการรองรับเช่นนี้ทำให้สามารถใช้ลูกเล่น MIMO (Multiple Input Multiple Output) ที่ทำให้การโอนไฟล์นั้นรวดเร็วขึ้นถึงสองเท่าเพราะใช้สองความถี่ทำงานร่วมกัน แต่หากจะใช้ MIMO นั้น Router คุณก็ต้องรองรับด้วยเป็นอันดับแรก (ปัจจุบัน Router ในท้องตลาดรุ่นบนๆ หน่อยจะรองรับ MIMO เกือบหมดแล้ว)

ประมวลผลได้รวดเร็วกว่า

Mini 2 มาพร้อมกับ Apple A7 Processor ที่ถือว่าเป็นรุ่นใหม่แกะกล่องของซีพียูจาก Apple ในขณะนี้ โดยเป็นซีพียูแบบ Dual-Core รองรับ 64 bit ใช้ชิปแบบเดียวกันกับ iPhone 5S ทำให้การประมวลผลนั้นจะรวดเร็วกว่า A5 ของรุ่นแรกที่เอาซีพียูจาก iPad 2 มาใช้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลร่วม M7 ที่ทำหน้าที่ประมวลผลความเคลื่อนไหวของตัวเครื่องด้วยเช่นเดียวกัน

เก็บไฟล์ได้เยอะขึ้น

รุ่นใหม่มาพร้อมกับการเปิดตัวโมเดลใหม่ความจุ 128 GB ที่หลายคนนั้นรอคอยกันมานานและพร้อมจะควักกระเป๋าเงินได้ทุกเมื่อ โดยรุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับหลายความจุให้เลือกตั้งแต่ 16 32 64 128 เทียบเท่ารุ่นหน้าจอปกติกันเลย โดยหากใครจะซื้อ Mini รุ่นแรกในตอนนี้ก็มีให้เลือกกันแค่ความจุ 16 GB เท่านั้น

เรื่องแบตละ?

ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่พร้อมจะสูบแบตได้กระจุยกระจายอย่างหน้าจอ Retina และซีพียู A7 แต่ยังไงก็ตาม Apple ยังคงจุดเด่นของตัวเองในเรื่องการใช้พลังงานได้อย่างเหนียวแน่น โดย Apple ยังคงสัญญาว่า iPad Mini 2 จะสามารถใช้งานเครื่องติดต่อกันได้ถึง 10 ชั่วโมงแน่นอน

สำหรับใครที่สนใจเรื่องราคาของ iPad Mini with Retina Display (Mini 2) นั้นจะวางขายในราคาดังนี้

Model
iPad Mini 2 (Wi-Fi) iPad Mini 2 (Wi-Fi+3G, LTE)
16 GB $399 (13000 บาท) $529 (16500 บาท)
32 GB $499 (16000 บาท) $629 (19500 บาท)
64 GB $599 (19000 บาท) $729 (22500 บาท)
128 GB $699 (22000 บาท) $829 (33500 บาท)

ราคาด้านบนเป็นการคำนวณผ่านอัตราแลกเปลี่ยนตอนนี้ และปัดแบบขึ้นทั้งหมดของผมเอง เอาเป็นว่าหากจะซื้อหาก็เตรียมเงินไว้จำนวนที่ผมว่าก็แล้วกัน ราคาไม่ได้ห่างไปจากนี้แน่นอน ส่วนวันวางจำหน่ายนั้นจะวางจำหน่ายต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ หากใครชอบรุ่นปกติก็สามารถดูข้อมูลของ iPad Air ได้เช่นกัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *