Nvidia เปิดตัว GeForce RTX 2080 Ti, 2080 และ 2070 พร้อมสเปก

สิ้นสุดการรอคอยเสียทีสำหรับผู้ที่รอการ์ดรุ่นใหม่ในตระกูล GeForce เพราะล่าสุดนั้นทาง Nvidia ได้เปิดตัวการ์ด GeForce ตระกูลใหม่แล้วในงาน Gamescom ที่ประเทศเยอรมณี

โดยในงานนี้มีการเปิดตัวการ์ดทั้งสิ้น 3 รุ่นได้แก่ GeForce RTX 2080 Ti, GeForce RTX 2080 และ GeForce RTX 2070 โดยการ์ดทั้งสามรุ่นนี้มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และมีการเปลี่ยนชื่อเรียกจากตระกูล GTX เป็น RTX ด้วย

โดยการ์ดทั้งสามรุ่นใช้สถาปัตยกรรมใหม่ที่มีชื่อว่า Turing มีเทคโนโลยีการผลิตระดับ 12 นาโนเมตร เทียบจากรุ่นก่อนหน้าในตระกูล pascal ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 16 นาโนเมตร ทำให้สามารถใส่จำนวนทรานซิสเตอร์เพิ่มเข้าไปในตัวชิปมากขึ้น และได้ประสิทธิภาพที่สูงกว่าเดิมด้วย

โดยจุดเด่นที่ดึงดูดที่สุดของการ์ดรุ่นใหม่นี้คือการเพิ่มหน่วยประมวลผล Tensor และ RT Core เข้าไปในตัวชิปด้วย ซึ่งตัว RT Core นี้มีหน้าที่ในการประมวลผลการทำ Ray Tracing โดยเฉพาะ ซึ่งเทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่วงการกราฟิกต้องการที่อยากจะทำได้แบบเรียลไทม์มานานแล้ว เนื่องจากการเรนเดอร์แบบเดิม ๆ ในลักษณะเรียลไทม์และได้ภาพที่ไร้ noise รบกวนสวย ๆ นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งเทคนิค Ray Tracing นี่คือการจำลองการเดินทางของแสงจริง ๆ เช่นการตกกระทบชิ่งไปมากับวัตถุต่าง ๆ ในระดับคำนวณระดับโฟตอนกันเลยทีเดียว ทำให้ได้แสงที่สมจริงและไม่กระด้างเหมือนที่เคยเป็นมา ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ทำให้การประมวลผลหลายอย่างนั้นสามารถเป็นไปได้ เช่นเทคนิคที่จะใช้ในเกม Battlefield 5 ที่กำลังจะออกในเร็ว ๆ นี้และมีตัวอย่างมาให้ได้ชมกันด้วยด้านล่าง

จุดเด่นในเดโมตัวนี้คือการทำแสงสะท้อนบนพื้นผิวต่าง ๆ ซึ่งหากจะทำในกราฟิกการ์ดที่ไม่มีหน่วยประมวลผลแบบนี้โดยเฉพาะนั้นจะต้องกินทรัพยากรเป็นอย่างมาก

ส่วนตัวการ์ดนั้น GeForce RTX 2080 Ti มีสเปคดังนี้

  • CUDA cores: 4,352 
  • Clock speed: 1350MHz base, 1545MHz boost, 1635MHz boost (OC Founder’s Edition)
  • Memory capacity: 11GB GDDR6 
  • Memory path: 352 bits 
  • Memory bandwidth: 616GBps 
  • Ports: VirtualLink/USB-C, DisplayPort 1.4, HDMI 2.0b 
  • Power: 2 x 8-pin, 250W TDP stock, 265W TDP OC Founders Edition
  • Release date: September 20, 2018 
  • Price: $999 stock, $1,199 Founders Edition

ราคาถือว่ามีการขยับขึ้นไปจากการ์ดรุ่นก่อนหน้าพอสมควร โดยเริ่มต้นที่ $999 สำหรับรุ่นปกติ และ $1199 สำหรับรุ่นพิเศษ Founders Edition โดยจะสังเกตเห็นได้ว่าแรมยังมีขนาดเท่าเดิม แต่แม้จะขนาดเท่านั้น แต่เปลี่ยนมาใช้ GDDR6 ทำให้ได้ความเร็วและแบนด์วิธที่สูงขึ้น

ส่วนรุ่นรองอย่าง GeForce RTX 2080 มีสเปคดังนี้

  • CUDA cores: 2,944 
  • Clock speed: 1515MHz base, 1710MHz boost, 1800MHz OC Founders Edition
  • Memory capacity: 8GB GDDR6 
  • Memory path: 256 bits 
  • Memory bandwidth: 448GBps 
  • Ports: VirtualLink/USB-C, DisplayPort 1.4, HDMI 2.0b 
  • Power: One 6-pin, one 8-pin
  • Release date: September 20, 2018 
  • Price: $699 stock, $799 OC Founders Edition

ตัวนี้ราคาจะอยู่ในระดับเท่าการ์ดตัวท็อปของรุ่นก่อนหน้า (ถ้าไม่นับตระกูล Titan) ก็คือประมาณ $699 สำหรับรุ่นปกติและ $799 ในรุ่น OC Founders Edition หากมองสเปคแล้วไม่ได้มีความแตกต่างจาก 1080 Ti ในรุ่นปัจจุบันมากมายนัก แต่จุดเด่นก็คงหนีไม่พ้น Tensor และ RT Core ที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งจะทำให้มีข้อได้เปรียบจากการ์ดก่อนหน้าแน่นอนสำหรับการประมวลผลเฉพาะทาง

นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ไม่อยากจ่ายมากระดับนั้น ทาง Nvidia ยังเปิดตัวการ์ดรุ่นรองท็อปอย่าง 2070 มาด้วยเช่นเดียวกัน มีสเปคดังนี้

  • CUDA cores: 2,304
  • Clock speed: 1,410MHz base, 1,620MHz boost, 1,710MHz OC Founders Edition
  • Memory capacity: 8GB GDDR6 
  • Memory path: 256 bits 
  • Memory bandwidth: 448GBps 
  • Ports: VirtualLink/USB-C, DisplayPort 1.4, HDMI 2.0b 
  • Power: One 8-pin, 175W stock, 185W OC Founders Edition
  • Release date: Unknown
  • Price: $499 stock, $599 Founders Edition

ราคาเริ่มต้นที่ $499 ถือว่าเพิ่มจากเดิมที่มีฐานอยู่ที่ $350 ในรุ่นก่อนหน้าไปอีกพอสมควร ใครอยากได้การ์ดแรง ๆ คงต้องเพิ่มเงินกันอีกสักหน่อยจากเดิมครับ

นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ การ์ดสองรุ่นบน 2080 Ti และ 2080 นั้นมาพร้อมกับพอร์ตใหม่อย่าง VirtualLink ด้วย ซึ่งเป็นมาตรฐานการส่งสัญญาณภาพ เสียง และข้อมูลผ่านมาตรฐาน USB-C ที่ได้รับการสนับสนุนทั้งจากค่ายใหญ่เช่น Oculus, AMD, Microsoft, Nvidia อีกด้วย ซึ่งพอร์ตนี้ออกแบบมาเพื่อใช้กับระบบ Virtual Reality โดยเฉพาะเพื่อที่จะทำให้มีความเกะกะของสายลดน้อยลงและได้ความละเอียด เฟรมเรต ที่สูงขึ้นด้วย

และสำหรับผู้ที่อยากต่อการ์ดหลายตัวนั้น รุ่นนี้ก็มากับพอร์ต NVLink ซึ่งเป็นอินเตอร์เฟซการเชื่อมต่อการ์ดหลายตัวเข้าไว้ด้วยกันเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ซึ่งปกติแล้วเราจะเห็น NVLink จากการ์ดระดับสูงของ Nvidia ในระดับเซิร์ฟเวอร์เท่านั้น แต่ครั้งนี้ทาง Nvidia เอา NVLink ใส่มาให้ในการ์ดสำหรับผู้ใช้ทั่วไปแล้ว จุดเด่นของ NVLink คือรองรับแบนด์วิธที่สูงกว่าเดิม มากกว่า SLI ที่เคยใช้กันมา โดยการเชื่อมต่อการ์ดเพื่อเล่นเกมนั้นจะรองรับการเชื่อมต่อได้สูงสุด 2 การ์ดพร้อมกัน

ตัวการ์ดทั้งสามรุ่น จะวางจำหน่ายในวันที่ 20 กันยายนนี้ครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *